ทำไมเราควรแผ่เมตตา ในสถานการ์ณที่พุทธศาสนามีภัย...

มนุษย์เหมือนหุ่น ที่บุญ
และบาปเชิด...
หยาบ ๆ แก้ด้วยการแผ่เมตตา
ไม่กังวล ไม่ต้องกลัว ให้แผ่เมตตา
แผ่เมตตาจิตอย่างเดียว
ถ้าไม่แผ่เมตตาแล้วใจเราจะใส ได้อย่างไร
ถ้าใจไม่ใสแล้ว
ใจจะหยุดได้อย่างไร 
ถ้าไม่หยุดแล้ว
จะไปเจอหลวงปู่ได้อย่างไร”
-       จากใครคนหนึ่ง -


สถานการณ์ปัจจุบันที่พระพุทธศาสนากำลังมีภัย ซึ่งถ้าตามข่าวปัจจุบันคงจะทราบกันดีว่า ทางรัฐบาลโดยคณะ คสช. ได้ออกคำสั่งให้ใช้ ม.44 ควบคุมวัดพระธรรมกายให้เป็นเขตการดูแลพิเศษ ในบรรยากาศขณะนี้ทั้งตึงทั้งเครียดกันทั้ง 2 ฝ่ายที่ปล่อยความเกลียด ความโกรธใส่กัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ใครจะเจอแหตุการณ์เจอข่าวไม่ดีมามากเท่าไหร่ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของกันและกัน ทำให้เราลืมสิ่งที่ควรรักษาคือความสุขของตัวเราเองและของกันและกัน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างขึ้นมากมายที่ทำร้ายกันเองจนเราลืมไปว่า เราคือ มนุษย์ และ อยู่ในประเทศเดียวกัน เราลืมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ที่ตกทอดกันมาจนถึงรุ่นเรา คำสอนที่มีค่าบทหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล จึง ๆ แล้วก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำแต่สมัยนั้นวิธีที่แสดงออกมายังไม่มีคำพูดที่เหมาะสมจนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นจึงเกิดคำว่า
แผ่เมตตา วันนี้จะขออนุญาติเล่าเรื่องในสมัยพุทธกาลเกี่ยวกับ การแผ่เมตตาที่
-ใครคนหนึ่ง-  เคยสั่งเคยสอนให้เราได้ปฏิบัติกันก่อนนอน และ ให้เราทุกคนต้องเร่งให้ความสำคัญ กับ เรื่องนี้


(ชาดก) จากใครคนหนึ่ง
* ดังเช่นในสมัยหนึ่งกบิลดาบส (ฤาษีดาบสที่ชื่อ กบิลดาบส)ได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่า ท่านมีนิสัยชอบเจริญภาวนาเป็นชีวิตจิตใจ เจริญเมตตาภาวนาอยู่เป็นนิตย์ ท่านทำเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอทุกวันทุกคืน เวลาไหนใจท่านสบายท่านก็แผ่เมตตา คือ ถ้าท่านหันหน้าไปทางตะวันออก ท่านก็ตั้งความปรารถนาว่า

     “ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย จะเป็นสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า หรือไม่มีเท้า มีเท้ามาก เท้าน้อย อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในทิศเบื้องหน้าทางตะวันออกนี้ ขอให้ได้รับความปรารถนาดีที่แผ่ออกไปด้วยกระแสใจที่บริสุทธิ์ ให้มีแต่ความสุข พ้นจากทุกข์โศก โรคภัยต่างๆแล้วท่านก็แผ่ไปในทิศนั้นอย่างไม่มีประมาณ อีกวันหนึ่งแผ่ไปทางทิศเหนือ อีกวันหนึ่งแผ่ไปทางทิศใต้ และทิศเบื้องบนทิศเบื้องล่าง แผ่ไปทุกทิศทุกทาง ท่านแผ่เมตตาไปเช่นนี้สม่ำเสมอ ทำทุกวันจนกระทั่งติดเป็นนิสัย ท่านจึงเป็นผู้ที่หลับเป็นสุข เหมือนเข้านิโรธสมาบัติ เข้าฌานสมาบัติ กายเบา ใจเบา ความเบิกบานสดชื่นแผ่ไปทุกอณูเนื้อทุกขุมขน ถ้าฝันก็ฝันแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคล สิ่งที่เป็นบุญกุศลล้วนๆ

     ครั้นตื่นมาก็ไม่ซึมเซา ไม่งัวเงีย มีความเบิกบานคล้ายๆ กับว่าเพิ่งออกมาจากแหล่งความสุขสดชื่น ตื่นมาก็สดชื่น หน้าตาผิวพรรณวรรณะผ่องใส ดวงตาสุกสกาว ภัยต่างๆ ไม่มากล้ำกราย ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายได้ แล้วยังเป็นที่รักเคารพของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย แม้แต่สรรพสัตว์ก็เคารพนับถือ เคารพด้วยใจรัก ท่านสามารถปล่อยอารมณ์ภายนอกออกได้เร็ว เพราะไม่มีอารมณ์โกรธกับใคร ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร มีแต่ความปรารถนาดีต่อทุกคนในโลก จิตใจของท่านเข้าถึงสมาธิสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ใจท่านสว่างไสวในศูนย์กลางกายยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน สว่างไสวไปหมดทั้งภพ ท่านทำเช่นนี้ตลอดเวลา

     เพราะฉะนั้น ป่าที่ท่านอาศัยอยู่จึงอุดมไปด้วยผลหมากรากไม้ อุดมด้วยสิ่งที่เป็นมงคลทั้งนั้น แม้แต่สัตว์ที่พูดภาษากันไม่รู้เรื่อง หรือที่เคยเป็นศัตรูกัน เมื่อเข้ามาในบริเวณรัศมีราวป่าที่ท่านอาศัยอยู่ จิตใจนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป มีแต่เมตตาธรรม มีแต่ความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน ไม่เป็นพิษเป็นภัยกัน เมื่อสัตว์จะพึงถึงคราวตายก็ต้องดิ้นรนไปตายที่อื่น ไม่ตายที่นั้น  ดังนั้นซากอสุภะจึงไม่มีในที่นั้น รอบแผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่จึงเป็นแผ่นดินที่สะอาด ดินฟ้าอากาศก็สะอาด เป็นบรรยากาศของความบริสุทธิ์ด้วยพลังเมตตาธรรมที่ท่านแผ่ไปทุกทิศทุกทาง ต่อมาสถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่ตั้งของเมืองกบิลพัสดุ์ที่พวกเรารู้จักกันดี เป็นเมืองที่เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งต่อมาเป็นบรมครูผู้เป็นศาสดาเอกของโลกทรงประทับอยู่

     นี่คืออานิสงส์ของการแผ่เมตตาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทันตาเห็น ไม่ต้องรอเมื่อเราละโลกไปแล้ว ขอให้พวกเราตั้งใจทำกันจริงๆ จังๆ อย่างสม่ำเสมอแล้วความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ของเราก็จะยิ่งทับทวียิ่งๆ ขึ้นไป คนรอบข้างสิ่งแวดล้อม ทั้งสัตวโลก ขันธโลก โอกาสโลก บริสุทธิ์ด้วยอำนาจแห่งใจอันเปี่ยมล้นด้วยเมตตาของเรา

     จะเห็นได้ว่าการแผ่เมตตาของท่านกบิลดาบสทำให้เกิดสิ่งที่ดีรอบ ๆ ตัว ท่านแผ่เมตตาจนเกิดเมืองกบิลพัสดุ์เป็นแผ่นดินที่เป็นที่รองรับผู้มีบุญอย่างศาสดาเอกของโลกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ลงมาจุติ ณ ผืนแผ่นดินนี้จากสรวงสวรรค์เพื่อลงมาประสูติ ลงมาสร้างบารมีเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาและเกิดคำสอนที่มีค่าจวบจนปัจจุบันให้พวกเราได้ศึกษาตามแนวทางชีวิตไม่ให้ผิดพลั้งพลาดจนพลัดตกลงไปในอบายซึ่งเป็นทุกข์คติภูมิ แต่พระองค์ทรงสั่งสอนให้เราเร่งสร้างบุญสร้างบารมี ในการทำ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อย่างยิ่งยวด ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากการแผ่เมตตาเพียงอย่างเดียว นี้คืออานิสงค์ที่ -ใครคนหนึ่ง- ท่านพยายามจะบอกเราในสถานการณ์ที่เราโดนกดดันบีบคั้นจากทุกทาง เพื่อให้เรามีใจที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

     การเจริญเมตตา ก่อนอื่นเราควรแผ่ให้ตนเองบ่อยๆ ว่า ขอเราจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความเบียดเบียน ให้พ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุข  เมื่อแผ่เมตตาให้ตัวเองแล้ว ก็พึงแผ่เมตตาแบบเดียวกันให้คนรอบข้าง และคนอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ตลอดจนสรรพสัตว์ จนกระทั่งขยายออกไปทั่วโลก ทั่วจักรวาลอันไม่มีประมาณ เพราะฉะนั้น จึงควรแผ่เมตตาให้ตนเองก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายออกไปหาคนรอบข้างโดยลำดับ

     เราควรแผ่เมตตาให้บุคคลทั้งหลาย ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเคยผิดพลาดล่วงเกินเราก็ตาม จงทำจิตให้เป็นกลางๆ ประกอบเมตตาธรรมขึ้นมาในใจ ไม่เจริญด้วยอคติ การเจริญเมตตานั้นมีอานิสงส์ใหญ่ ๑๑ ประการ ดังที่พระบรมศาสดาของเราตรัสว่า

     * “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอพึงเจริญเมตตาเจโตวิมุติ กระทำให้มาก ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ไม่ให้ฟุ้งซ่าน สั่งสมไว้ในใจด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ ย่อมหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย จะเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาย่อมรักษา ไฟก็ดี ยาพิษศัสตราก็ดี ไม่สามารถจะทำอันตรายได้ จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว สีหน้าผ่องใส ไม่หลงทำกาลกิริยา และประการสุดท้าย เมื่อยังไม่บรรลุที่สุดแห่งทุกข์ ย่อมเข้าถึงพรหมโลกได้โดยง่าย

     พระพุทธองค์ทรงแนะนำวิธีแผ่เมตตาให้ด้วยว่า ธรรมดาภิกษุพึงอบรมเมตตาภาวนาซึ่งยึดอานิสงส์ ๑๑ ประการเหล่านี้ แล้วเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิด ทั้งโดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ที่มีจิตเกื้อกูล และพึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่ไม่มีจิตเกื้อกูล พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มีอารมณ์จิตเป็นกลางๆ และพึงปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ อย่างสม่ำเสมอ เพราะเมื่อทำเช่นนี้ แม้ยังไม่บรรลุมรรคผล ย่อมมีสุคติภูมิเป็นที่ไปในภพเบื้องหน้า

     จากนั้นทรงตรัสเล่าว่า แม้แต่การบริโภคก้อนข้าวของชาวบ้าน ก็ย่อมไม่เสียเปล่า เพราะภิกษุผู้เจริญเมตตาจิตแม้เพียงลัดนิ้วมือ ชื่อว่าเป็นนายของก้อนข้าวที่ชาวบ้านนำมาให้ และทานที่บุคคลถวายแด่ภิกษุผู้เจริญเมตตาจิตแม้เพียงลัดนิ้วมือเดียวนี้ ย่อมจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองไพบูลย์  เพราะฉะนั้น การบริโภคข้าวของพระภิกษุที่ชาวบ้านน้อมถวายนั้นไม่เป็นโมฆะ ไม่เสียเปล่า เพราะภิกษุผู้เจริญเมตตาเช่นนี้ ย่อมเป็นผู้ฉันก้อนข้าว โดยความไม่เป็นหนี้ แต่เป็นเนื้อนาบุญให้กับผู้ปรารถนาบุญอันอุดม

     เรื่องการแผ่เมตตานี้เป็นเรื่องของความนุ่มนวลของใจ ความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ซึ่งใครก็ไม่สามารถทำให้ใครบริสุทธิ์ได้ มีแต่ตนเองเท่านั้นที่สามารถทำตนเองให้บริสุทธิ์ได้ เพราะความสะอาดบริสุทธิ์ และความนุ่มนวลของจิตที่ประกอบด้วยเมตตาธรรม จะทำให้เราเข้าถึงธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย

     เมตตาธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ถ้าทุกคนในโลกนี้มีเมตตาจิตต่อกัน บ้านเมืองจะมีแต่ความสงบสุข ปราศจากภัยอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญ เมตตาธรรมจะทำให้ตัวของเราสะอาดบริสุทธิ์ สามารถรองรับธรรมะที่ละเอียดสูงยิ่งๆ ขึ้นไปได้ แล้วเราจะได้นำธรรมะนั้น เผื่อแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่สรรพสัตว์ที่เคยมีเวรมีภัยต่อกัน เมื่อได้รับอานุภาพแห่งเมตตาธรรมแล้ว จะปรองดองรักใคร่สามัคคี สถานที่ตลอดจนวัตถุสิ่งของแม้ไม่มีจิตใจก็จะสะอาดบริสุทธิ์อุดมสมบูรณ์ ประเทศชาติย่อมเจริญรุ่งเรือง ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์  เพราะฉะนั้นกระแสแห่งเมตตาธรรมมีผลดีต่อโลกมาก เราทุกคนจะต้องหมั่นเจริญภาวนา และแผ่เมตตาทุกๆ วัน ทำให้เป็นนิสัย แล้วสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราตลอดไป

Credit :
 กบิลดาบส
ดาบสที่อยู่ในดงไม้สักกะ ประเทศหิมพานต์ พระราชบุตรและพระราชบุตรีของพระเจ้าโอกกากราชพากันไปสร้างพระนครใหม่ในที่อยู่ของกบิลดาบส จึงขนานนามพระนครที่สร้างใหม่ว่า กบิลพัสดุ์ แปลว่า ที่หรือที่ดินของกบิลดาบส        


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น...